---

เลือกซื้อไฟฉุกเฉินอย่างไร

ผู้อ่านหลายๆท่านอาจคิดว่าการเลือกซื้อไฟฉุกเฉินนั้นเป็นเรื่องยาก แต่เราสามารถบอกได้เลยว่ามันง่ายกว่าที่คิดอย่างแน่นอน ปัจจัยในการเลือกซื้อไฟฉุกเฉินให้ตรงตามความต้องการนั้น มีเพียง 3 ปัจจัยหลักๆ ดังนี้

ระยะเวลาการสำรองไฟ

ระยะเวลาการสำรองไฟ คือ ระยะเวลาที่เราต้องการให้ไฟฉุกเฉินนั้นส่องสว่างเวลาเกิดเหตุไฟดับ ซึ่งระยะเวลาการสำรองไฟของไฟฉุกเฉินนั้นขึ้นอยู่กับตัวแบตเตอรี่ ว่าแบตเตอรี่ของไฟฉุกเฉินนั้นมีใหญ่ หรือ มีความจุเท่าไหร่ ซึ่งแน่นอนว่า ยิ่งแบตเตอรี่ใหญ่ ตัวไฟฉุกเฉินก็จะยิ่งสำรองไฟได้นาน แต่ก็จะแลกมาด้วยขนาดของตัวเครื่อง ก็จะใหญ่ขึ้นตามขนาดของแบตเตอรี่ ในทางกลับกันแบตเตอรี่เล็กๆ ก็จะสำรองไฟได้น้อยกว่า แต่ก็จะประหยัดพื้นที่ในการติดตั้งไฟฉุกเฉิน

หลอดไฟ

โดยทั่วไปในตลาดซื้อ-ขายไฟฉุกเฉิน จะมีโคมไฟและหลอดติดมากับตัวเครื่อง ซึ่งก็แล้วแต่โมเดลหรือรุ่น ว่าจะมีหลอดไฟ 1 หลอด หรือ 2 หลอด จำนวนหลอดไฟนี้ ก็จะให้ความสว่างที่แตกต่างกัน โดยทางส่วน Protecthai เห็นว่า 2 หลอดจะสามารถใช้ประโยชน์ได้มากกว่า เนื่องจากผู้ใช้สามารถปรับทิศทางของหลอดแต่ละหลอดให้แยกออกจากกัน ทำให้เกิดแสงสว่างได้ในพื้นที่ที่เป็นวงกว้างกว่า รวมถึงกำลังวัตต์ของตัวหลอดไฟ หากต้องการความสว่างมาก ก็ต้องดูไฟฉุกเฉินที่มีหลอดไฟกำลังวัตต์สูง ซึ่งกำลังวัตต์ที่สูงนี้ก็จะกินไฟในแบตเตอรี่มากกว่า ในส่วนนี้เราอาจจะต้องดูความเหมาะสมของพื้นที่ที่เราจะใช้งานด้วย อย่างเช่น หากเราต้องการนำไฟฉุกเฉินไปใช้ในบ้านพัก ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ขนาดใหญ่ ก็อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องใช้หลอดที่มีความสว่างมาก แต่ถ้าหากต้องการซื้อไว้ใช้ในโรงงาน หรือ สำนักงาน ก็ควรที่จะซื้อหลอดกำลังวัตต์สูงๆ เพื่อสร้างแสงสว่างที่มากกว่า และก็ควรจะเลือกเครื่องที่มีแบตเตอรี่ใหญ่ด้วยเพื่อความเหมาะสม ฉะนั้นการเลือกซื้อไฟฉุกเฉินนั้นก็ต้องดูจากพื้นที่ที่จะนำอุปกรณ์ไปติดตั้งด้วย

ตัวเครื่องและการทำงาน

หัวข้อนี้หมายถึงไฟฉุกเฉินนี้ต้องมีไฟแสดงการทำงานของตัวเครื่อง ก็คือ ไฟแจ้งว่าเครื่องทำงานปกติ ถ้าเครื่องมีปัญหาก็จะต้องมีไฟเตือนให้เห็น และตัวเครื่องควรจะมีปุ่มกดทดสอบการทำงาน และในบางรุ่นก็มีฟังก์ชั่นเสริม อย่างเช่น สามารถทดสอบการทำงานของตัวเครื่องโดยใช้ รีโมท ได้ , มีระบบทดสอบตัวเอง , และคายประจุแบตเตอรี่ทุก 30 วัน เพื่ออำนวยความสะดวกและยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่